หนังซุปเปอร์ฮีโร่และหนังการ์ตูนดิสนี่ย์

Morbius (2022) มอร์เบียส   หนังของผู้กำกับ แดเนียล เอสพิโนซ่า นำแสดงโดย จาเรด เลโต, แมตต์ สมิธ และ จาเรด แฮร์ริส เรื่องราวของ ไมเคิล มอร์เบียส (รับบทโดย จาเรด เลโต) นักชีวเคมีชายผู้พยายามหาวิธีรักษาโรคเลือดหายากของตนเอง จนในที่สุดเขาก็พบวิธีจากค้างคาว แต่นอกจากที่มันจะสามารถรักษาเขาได้แล้ว มันยังทำให้เขาแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ มีพลังวิเศษ และเป็นแวมไพร์จอมกระหายเลือดด้วย เรื่องราว มอร์เบียส อีกหนึ่งตัวละครในตำนานของมาร์เวลที่น่าสนใจและมีความขัดแย้งในตัวมากที่สุด นำแสดงโดย “จาเร็ด เลโต” ดาราเจ้าของรางวัลออสการ์ มาเส้นบางๆ ระหว่างฮีโร่และอสูรร้าย อีกหนึ่งตัวละครในตำนานของมาร์เวลที่น่าสนใจและมีความขัดแย้งในตัวมากที่สุด นำแสดงโดย “จาเร็ด เลโต” ดาราเจ้าของรางวัลออสการ์ มารับบทเป็น “ไมเคิล มอร์เบียส” แอนตี้ฮีโร่ผู้ลึกลับ ดร.มอร์เบียส ป่วยหนักด้วยโรคเลือดที่หายากและด้วยความตั้งใจที่จะช่วยคนอื่นๆ ที่ต้องเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน เขาจึงพยายามทดลองหลากหลายวิธี แม้ว่าในตอนแรกมันดูเหมือนว่าจะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ด้านมืดของผลการทดลองนี้ได้ถูกปลดปล่อยออกมาด้วย ความดีจะลบล้างความชั่ว เส้นบางๆ ระหว่

Doctor Strange (2016) จากหมอผู้เชื่อมั่นในหลักวิทยาศาสตร์ สู่การเป็นจอมเวทย์มหากาฬภาพยนตร์นี้ นอกจากจะได้หนุ่ม เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบช (Benedict Cumberbatch) ที่ถูกวางตัวให้มารับบท สตีเฟ่น เสตรนจ์ หรือ ดร.สเตรนจ์ ตั้งแต่แรกแล้วนั้น ในส่วนของเนื้อหาก็ได้มีการดัดแปลงให้แตกต่างจากในฉบับ Comic หลายส่วนด้วยกัน หนึ่งในนั้น ก็คือ เรื่องของตัวละคร The Ancient One อาจารย์ผู้วิเศษของ ดร.สเตรนจ์ ที่ใช้นักแสดงหญิง ทิลดา สวินตัน (Tilda Swinton) มารับบทแทนต้นฉบับเดิมซึ่งเป็น “ชายแก่”  เรื่องราวเมื่อหมออัจฉริยะผู้เชื่อมั่นในฝีมือตัวเองประสบอุบัติเหตุทำให้มือของเขาไม่สามารถใช้งานได้ดังเดิม เขาจึงต้องหาวิธีรักษาทุกวิถีทางเพื่อรักษามือของเขา จนกระทั่งได้พบกับวิธีแสนอัศจรรย์ ทำให้หมอผู้ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ กลับต้องมาศึกษาเวทมนตร์เพื่อรักษาตนเอง และได้เข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ครั้งใหญ่ในที่สุด หนังเรื่องนี้เป็นการเล่าที่มาที่ไปของซูเปอร์ฮีโร่สายเวทย์ ดำเนินเรื่องอย่างกระชับไม่ยืดยาด และยังคงแทรกมุกตลกตามสไตล์ Marvel ไว้เหมือนเรื่องอื่น ๆ ในส่วนของ CG เอฟเฟกต์เวทมนตร์ก็ทำออกมาได้น่าตื่นตาตื่นใจไม่ว่าจะ

Kick-Ass 2 เกรียนโคตรมหาประลัย 2   เมื่อมนุษย์ธรรมดาอยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่(แบบเกรียนๆ) หนังครบเครื่อง โหดจัดเต็ม  หลังจากประสบความสำเร็จทำรายได้ไปร่วม 100 ล้านเหรียญกับภาคแรกในปี 2010 ผ่านมาอีก 3 ปี ภาคสองก็ตามออกมาสานต่อความเกรียนของซูเปอร์ฮีโร่คนธรรมดาให้ถึงเนื้อถึงหนังกันอีกครา โดยทีมนักแสดงนำชุดเก่ากลับมากันครบ ยกเว้นก็เพียงแต่ BD – Big Daddy (ที่สวมบทบาทโดย Nicolas Cage) พ่อของนางเอก และ Frank D’Amico (สวมบทบาทโดย Mark Strong) พ่อของ Red Mist (เจ้าหมอกแดง) เจ้าพ่อมาเฟียที่ถูกสองพ่อลูกโค่นและสิ้นชีวิตไป เรื่องราวของสาวมินดี้ / Hit Girl  ที่ต้องอยู่ในความดูแลของนักสืบมาร์ ขณะที่เดฟ / Kick-Ass ก็ตามเทียวไล้เทียวขื่อมินดี้อยู่ไม่ห่าง หวังให้เธอช่วยสอนและพัฒนาทักษะการต่อสู้ระดับประถมให้มันเทพมากกว่าที่เป็นอยู่ และผลพวงจากเรื่องราวในภาคก่อน ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่คนทั่วไปหันมาใส่ชุดที่ตัดเย็บเองก็ปฏิบัติตัวเยี่ยงซูเปอร์ฮีโร่ แถมรวมกลุ่มกันภายใต้ชื่อ จัสติสฟอร์เอฟเวอร์ ที่นำโดย Colonel Stars and Stripes  ที่ไปๆ มาๆ เมื่อหาแนวร่วมไม่ได้และไม่อยากจะลุยเดียว คิกแอสก็เลยต้องร่วมแก๊งจนได้ และคู่

   Doom Patrol ss2  HBO  ทีมฮีโร่ DC ที่หลุดโลกยิ่งกว่าเดิม เรื่องราวภาคแยกใน DC Universe ที่ออกมาจาก Titan DC แต่สร้างแนวทางของตนเองเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นแนวฮีโร่ที่ไม่เน้นแอ็กชั่นกู้โลก แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ต้องกู้โลกเข้ามาเรื่อยๆ แต่มันทำด้วยวิธีเพี้ยนๆหลุดโลก ตลกร้าย และล้อเลียนเสียดสีในหลายอย่างที่คุณไม่นึกว่าจะได้เห็นมาอยู่ในเรื่องนี้ ตัวเรื่องเป็นเรต 18+ ไม่ควรให้เด็กเล็กดู  เรื่องราวของกลุ่ม Doom Patrol ในซีซันแรก ที่ต้องเผชิญหน้ากับ Mr.Nobody ผ่านไป ผลกระทบจากตอนจบของซีซัน ที่ทำให้ร่างของพวกเขาถูกทำให้ขนาดจิ๋ว ทำให้ ไนล์ส หรือ เดอะชีฟ ตัดสินใจช่วยทุกคนด้วยการสละยันต์ที่ห้อยติดตัวตนเอาไว้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับเวทมนต์ที่จะช่วยให้ทุกคนกลับมาเหมือนเดิม แต่นั่นก็ทำให้อายุขัยของเขานับถอยหลังไปด้วย ในขณะเดียวกัน โดโรธี ลูกสาวของเขาที่กลุ่ม Doom ช่วยเธอมาได้ในตอนท้ายซีซันก่อน ก็มีพลิงพิเศษที่รุนแรง แล้วยังไม่สามารถควบคุมมันไว้ได้ ด้วยความที่ห่วงว่าหากชีฟไม่อยู่ อาจจะทำให้โดโรธีคุมพลังตนเองไม่อยู่แล้วทำให้โลกเจอความวิบัติ บวกกับสมาชิกในกลุ่มก็ต้องการให้ชีฟยังมีชีวิตอยู่

DC's Legends of Tomorrow S5 รวมพลคนเหนือมนุษย์ ปี5 ขยายจักรวาลรวมพลคนพลังฮีโร่ตัวจี๊ด แห่งค่ายดีซี อาทิ ไวท์ คานารี่, อะตอม, คอนสแตนติน, ฮีทเวฟ, เอวา ชาร์ปี และ โมนา วู รวมพลัง คลอสโอเวอร์ ที่แฟนๆ คลับจะต้องร้องว้าว!!! กับการผสานวัฒนธรรมด้วยเหตุการณ์คู่ขนานต่างมิติ ของการรวมพลังกันกำจัดจอมวายร้ายตัวใหม่ ที่พร้อมจะเปลี่ยนพลังของพวกเขาไปตลอดกาล เรื่องราว นับว่าเป็นการรวมตัวของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ครั้งใหญ่ของ DC Series ที่เป็นการรวมตัวของฮีโร่ทั้ง 8 คนเอาไว้ประกอบด้วย หัวหน้าทีมอย่าง Rip Hunter อดีตสมาชิตกลุ่ม time master (องค์กรที่จัดตั้งเพื่อปกป้องประวัติศาสตร์) ผู้มาจากอนาคต และสมาชิกภายในทีม ได้แก่ The Flash ไอ้หนุ่มลมกรด ผู้ที่มีความเร็วเหนือแสง , The Arrow โคตรคนธนูพิฆาต , The ATOM เศรษฐีที่มาพร้อมกับเกราะของเขาที่สามารทำอะไรได้หลายๆอย่าง , Hawkgirl หญิงสาวติดปีก กับชีวิตในอดีตที่ซับซ้อน , White Canary นักฆ่าที่ฟื้นจากความตาย , Captain Cold และ Heat Wave อาชญกรตัวฉกาจที่มาพร้อมกับปืนคู่ใจ และ Firestorm ฅนไฟบิน ผู้ปล่อยพลังไฟ และดูดพลังงานทุกอย่างได้ตามใจ พวกเขารวมตัวกันเพื่อกำจัด

‘SCREAM หวีดสุดขีด’ (2022) ฆาตกรหน้ากากผีกลับมาอีกครั้งแล้ว โดยในภาคที่ 5 นี้ ได้คู่หูผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่อง Ready Or Not มากำกับแทน เวส เครเวน (Wes Craven) ผู้ล่วงลับ ตัวหนังเลยเล่าเรื่อง 25 ปีให้หลังจากภาคก่อนหน้า ทำให้มีกลุ่มวัยรุ่นยุคใหม่ต้องรับคำชี้แนะจากกลุ่มผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ร้ายในเมืองวู้ดส์โบโรอีกครั้ง และฆาตกรคนใหม่ก็เหมือนจะคุ้นเคยกับเหยื่อทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่เสียด้วย เกมการไล่ล่าครั้งนี้จะจบลงเช่นไร ?! เรื่องราวต่อเนื่องหลังเหตุฆาตกรรมโหดร้ายอันโด่งดัง ณ เมืองวูดส์โบโร (Woodsboro) ในครั้งนี้ ‘ไอ้หน้าผี’(Ghost face) รายใหม่กลับมาไล่เชือดคนอีกครั้ง การตามไล่ล่าโฉมหน้าที่แท้จริงของฆาตกรจึงเริ่มขึ้น และพบว่าการกลับมาของไอ้หน้าผีนั้นเกี่ยวพันกับเหตุฆาตกรรมเมื่อ 25 ปีก่อน ทำให้ 3 เพื่อนผู้รอดตายจากไอ้หน้าผีในครั้งก่อนทั้ง ‘ซิดนีย์ เพรสก็อต’ (Neve Campbell), ‘ดิวอี ไรลีย์’ (David Arquette) และ ‘เกล เวเธอร์ส’ (Courtenay Cox) ต้องกลับมาร่วมกันไล่ล่าไอ้หน้าผี และรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตที่สืบทอดและเชื่อมโยงมาถึงปัจจุบันอีกด้วย ส่วนในภาคนี้ ตัวหนังเลือกใช้การตัดต่อ ไดอะล็อก

We Can Be Heroes  ทางช่อง Netflix หนังทำได้ดีตามภาษาหนังฮีโร่ที่เล่าเรื่องสไตล์ให้เด็กๆดู หากพ่อแม่ที่เป็นผู้ใหญ่และเป็นทีมซูเปอร์ฮีโร่แพ้ให้กับสัตว์ประหลาด รูปร่างประหลาดที่มีท่าทางคล้ายๆปลาหมึกผสมกับกังหันลมบุกมาจากต่างโลก และรวบตัวพ่อแม่ของเขาไปลักพาตัวไปนอกอวกาศ ลูกๆของพวกเขาจึงต้องร่วมทีมกันเพื่อช่วยเหลือของพ่อแม่ของตัวเอง  แต่ตอนที่ออกไปสู้กับเหล่าร้ายหรือกำจัดมนุษย์ต่างดาว ผู้เขียนกลับรู้สึกเฉยๆแทน อาจเพราะการต่อสู้ตัวต่อตัวที่เน้นการจับเด็กโดยไม่ใช้ความรุนแรงมากกว่า เราจึงไม่เห็นตัวร้ายพกปืน ระเบิด หรือกับดัก RG-13 เลย ราวกับดูแคลนว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็ก แม้จะมีพลังพิเศษก็ไม่มีทางชนะผู้ใหญ่ได้ จึงเน้นแค่การจับตัวที่ใช้แค่โซ่ล่ามและกุญแจไขเท่านั้น จากลูกที่นั่งเชียร์พ่อแม่อยู่หน้าจอทีวี ก็กลายเป็นพ่อแม่ทีมซูเปอร์ฮีโร่ที่ภูมิใจเพราะการทำได้ของลูกตัวเองแทน เรื่องราวในโลกปัจจุบันมีกลุ่มฮีโร่ที่แกร่งที่สุดมีชื่อว่า ฮีโร่อิกส์ พวกเขาได้พบสัญญาณของเหล่าเอเลี่ยน จึงต้องทำให้เหล่าฮีฌร่ต้องออกปฏิบัติการไปหยุดยั้งเหล่าเอเลี่ยน แต่พวกเขากลับโดนจับตัวไว้ได้ ซึ่งในนั้นมี มาร์คัส พ่อของ มิซซี่

  Transformers: The Last Knight  ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 5 อัศวินรุ่นสุดท้าย เรื่องราวที่ไปไกลถึงยุคคิงอาร์เธอร์ ดูเหมือนเบย์ยังไม่หนำใจเมื่อภาคที่แล้วกวาดไปถึงพันกว่าล้านเหรียญทั่วโลก ภาคนี้จึงกลับมาพร้อมจัดเต็มหุ่นหน้าใหม่เพียบ พร้อมยังเล่าไปถึงความลับที่โลกยังไม่รู้มาก่อน แถมภาคนี้ยังมีไอเดีย “ผู้ถูกเลือก” เข้ามาอีกด้วย เรื่องราว ของผู้ชายคนเดิม เคด เยเกอร์ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) ที่กบดานและหลบหนีการถูกตามล่าตัวโดยกองกำลังกลุ่มใหม่ในนาม TRF ไม่ใช่แค่นั้น เพราะเขาก็ต้องปกป้องเหล่าพันธมิตรออโตบอตด้วยเช่นกัน ภารกิจของเขาทำให้ได้รู้จักกับสาวน้อยอิซซี่ (Isabela Moner) ที่มีคู่ซี้เป็นเจ้าหุ่นตัวเปี๊ยก แต่เหตุการณ์มันมิใช่แค่นั้น มื่อโลกนี้ยังมีความลับที่กำลังจะถูกเปิดเผย ว่ามนุษย์โลกนั้นเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงใหม่ไปกับเหล่าทรานส์ฟอร์เมอร์ส อัศวินโต๊ะกลมที่เรารู้จักกัน ไม่ว่าจะเป็น คิงอาร์เธอร์ แลนสล็อต หรือแม้แต่พอมดเมอร์ลิน ต่างก็เคยร่วมประชุมและรบกับเหล่าอัศวินผู้กล้าจากดาวไซเบอร์ทรอนมาแล้วทั้งนั้น ผู้กุมความลับของเรื่องราวทั้งหมดคือขุนนางอังกฤษผู้หนึ่งที่มีนามว่า เซอร์ เอ็ดมัน เบอร์ตัน (เซอร์ แอน

แฟนแทสติก โฟร์ (Fantastic Four)  เหล่าฮีโร่ที่มีพลังพิเศษกันคนละแบบ ย้อนไปสู่วัยรุ่นที่มีความหลังมากกว่าที่เคยรู้กัน  หนังเล่าย้อนไปถึงวัยเด็กของเพื่อนรักสองคน ริชาร์ดส รี้ด (Miles Teller) ที่เป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก เขาวาดฝันว่าจะต้องเป็นคนแรกที่สามารถเทเลพอร์ตไปยังที่อื่นได้ เขาคิดค้นมันจนเป็นผลสำเร็จตั้งแต่วัยเยาว์ กับเพื่อนรักอย่าง เบน กริมม์ (Jamie Bell) แม้ว่าจะไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ผู้สอน แต่ก็มีคนที่เล็งเห็นคุณค่าจากงานวิจัยของเขา เรื่องราวของเด็กวัยรุ่นธรรมดา 4 คนที่สามารถหายตัวสลับเข้าไปในโลกที่มีความซับซ้อนและอันตรายได้ ซึ่งร่างกายของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าทึ่ง ชีวิตพวกเขาพลิกผันไปอย่างไม่อาจย้อนเวลากลับไปได้ ทั้งทีมต้องศึกษาวิธีควบคุมความสามารถใหม่ของพวกเขา และร่วมมือกันปกป้องโลกจากเพื่อนเก่าที่กลายมาเป็นศัตรู หนังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาเก่าสักเท่าไหร่ แต่โฟกัสไปในวัยที่เด็กลง คือจากภาคก่อนๆ ที่มาเน้นตอนแก่กันเลย ในภาคนี้ก็เล่าไปถึงเรื่องราวความเป็นมาสมัยเด็กของ รี๊ด และ เบ็น ว่ามาเป็นเพื่อรักกันได้ยังไง มาเจอกับซูซาน และ จอห์นนี่ ได้ยังไง เข้ามาเป็นทีมทดล

  Doctor Strange in the Multiverse of Madness ตัวละครที่มักจะเป็นที่พึ่งในแง่ของความรู้ต่าง ๆ มีไม่กี่คนในจักรวาล MCU หนึ่งในนั้นคือ ด็อกเตอร์ สตีเฟน สเตรนจ์ ผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านเวทมนตร์ และปัญหาในระดับมิติจักรวาล แต่แม้ว่าจะเป็นตัวหมอแปลกเอง ก็มีสิ่งที่เขาไม่รู้เช่นเดียวกัน นั่นก็คือ เรื่องราวของมัลติเวิร์ส หรือพหุจักรวาล ซึ่งเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความปั่นป่วนขั้นสุดในภาพยนตร์เรื่อง Doctor Strange in the Multiverse of Madness งานนี้เขาต้องมีคนมาช่วยทำให้เข้าใจมันมากขึ้น และคนนั้นก็คือ อเมริกา ชาเวซ หรือ Miss America  เรื่องราวใน จอมเวทย์มหากาฬในมัลติเวิร์สมหาภัย ได้ปลดล็อกพหุจักรวาลใน MCU ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดมากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยมีมา เดินทางไปสู่มิติที่มิอาจหยั่งรู้ได้กับ ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ กับสหายผู้มีพลังพิเศษทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ที่จะมาร่วมเดินทางไปในพหุจักรวาลที่แสนบิดเบี้ยวและอันตราย เพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูลึกลับในครั้งนี้ Marvel Studios’ Doctor Strange in the Multiverse of Madness : จอมเวทย์มหากาฬในมัลติเวิร์สมหาภัย นำแสดงโดย Benedict Cumberbatch, Chiwetel Ejiofor, Elizabeth Ols

X-Men: Dark Phoenix   หนึ่งใน Mutant สุดแข็งแกร่งของทีม X-Men ที่มีความสามารถโดดเด่นโดยเนื้อเรื่องแต่ละภาคจะผสมผสานประวัติศาสตร์ การเมือง ปัญหาสังคม เชื้อชาติ สีผิว ชนชั้น ซึ่งนี่เป็นจุดขายหลักของ X-Men ที่ช่วยส่งเสริมฉากแอ็กชั่นให้เป็นองค์ประกอบเข้ากันได้เป็นอย่างดี  เรื่องราวชีวิตของจีน เกรย์ ตั้งแต่วัยเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชาร์ลส์ เซเวียร์ ที่เริ่มจากการพยายามปกป้องจิตใจของฝ่ายหลังจนเกิดผลลัพธ์อันเลวร้ายตามมาได้เป็นอย่างดี ซีนที่ประทับใจหนีไม่พ้นซีนที่ชาร์ลส์ ยืนปากกาให้ จีน เป็นของขวัญพร้อมบอกเธอว่า เธอจะใช้ปากกาเขียนหนังสือหรือเป็นอาวุธก็ได้ ยังไงมันก็เป็นปากกา เป็นของขวัญไม่ต่างจากพลังของเธอ โดยรวมหนัง Dark Phoenix เรียกว่านอกจะเป็นภาคจบปิดท้ายแล้ว หนังยังพาจุดขายหลักของซีรีย์นี้ให้ดิ่งลงเหวไปหมดกลายเป็นหนังคนมีพลังพิเศษตีกันแบบงงๆ มีเอเลี่ยนแบบข้ามมาเพื่อครองโลก เหมือนการ์ตูนพล็อตโหลๆ  เรียกว่าหลังจากนี้ถึงอยากทำต่อก็คงเข็นกลับมาแนวทางจริงจังกับประวัติศาสตร์โลกไม่ไหวแล้วจริงๆ 👉👉  ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ  แนะนำหนังดัง หนังฮอลลีวูด  ได้ที่นี่