รีวิว Luca (ลูก้า) มิตรภาพสุดผิวน้ำ ภาพยนตร์แอนิเมชัน Disney+ Hotstar
Luca (ลูก้า) ภาพยนตร์อนิเมชั่น 3 มิติแนวแฟนตาซีและข้ามผ่านวัย (Fantasy and Coming of Age) ผลิตโดย Pixar Animation Studios และจัดจำหน่ายโดย Walt Disney Studios Motion Pictures ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย เอนรีโก คาซาโรซา ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมโดยสื่อจากต่างประเทศถึงเสน่ห์และมนต์ขลังของอิตาลี และงานภาพที่มีเสน่ห์ แต่สำหรับผมมันจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า มาอ่านรีวิวผมกันดีกว่า
เรื่องราวหน้าร้อนของคุณเป็นแบบไหนกัน? เริ่มต้นสำหรับลูก้า เด็กชายตัวจ้อยแล้ว มันคือความน่าเบื่อหน่าย เพราะตระกูลสัตว์ประหลาดใต้ทะเลของเขานั้นอยู่ใต้น้ำของชายฝั่งเมือง Portorosso ในประเทศอิตาลีและหลบเลี่ยงสายตาจากมนุษย์ที่ออกไล่ล่าพวกเขาด้วยความกลัว เขามีความฝันที่จะได้ออกไปใช้ชีวิตแบบมนุษย์แต่เพราะแม่ที่เคร่งระเบียบของเขาไม่เคยเห็นดีงามด้วยเขาจึงจำใจอยู่ในกรอบที่แม่ตั้งไว้ แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของลูก้าก็มีชีวิตชีวาเมื่อเขาได้พบกับ อัลเบอร์โต้ สัตว์ประหลาดทะเลหนุ่มอีกตัวที่อาศัยอยู่ในเกาะบริเวณใกล้ ๆ และได้เปิดโลกใบใหม่ที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน และนั่นเริ่มทำให้ลูก้าเริ่มกล้าที่จะฝันและจะทำมันให้เป็นจริง แต่เมื่อความขัดแย้งเรื่องอุดมการณ์กับครอบครัวถึงขีดสุด เขาจึงเลือกมิตรภาพกับอัลเบอร์โต้ เพื่อนที่เขาเพิ่งเจอ มุ่งหน้าสู่เมืองท่าของเหล่ามนุษย์ที่ซึ่งพวกเขาจะได้เรียนรู้มิตรภาพและความงดงามของมนต์ขลังอันน่าหลงใหล ความน่ากลัวของมนุษย์ที่มีจิตใจอันชั่วร้าย และเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งตัวตนของพวกเขาเอง ในช่วงหน้าร้อน ณ Portorosso
ตัวหนังจะพาเราไปสัมผัสความสัมพันธ์ของตัวละครลูก้าและอัลเบอร์โต้ที่ใช้เวลาไม่มาก แต่ทำให้เห็นว่าทั้งคู่สนิทสนมกันยังไง ปมปัญหาของตัวละครที่ไม่ได้เน้นหรือขยี้อะไร แต่ที่เน้นย้ำคงจะเป็นความสวยงามของสภาพของเมืองที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศอิตาลีจริง ๆ อีกทั้งยังเป็นความน่ารักของเหล่าตัวละครที่ถูกถ่ายทอดออกมาถึงความไร้เดียงสาแต่ก็ค่อย ๆ เติบโตเวลาที่หนังเดินเรื่องไป
สรุป Luca เป็นอนิเมชั่นที่งดงามในทางด้านศิลปะ และมิตรภาพอันแสนงดงามและอบอุ่น ชวนให้นึกถึงอดีตพร้อมประเด็นอันลึกซึ้งที่ตีความได้หลายแบบไม่รู้จบ แต่สอบตกการเป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องสนุกและการขยี้เรื่องราวปมของตัวละคร แม้ว่าองค์ประกอบและคอนเซปต์ของเรื่องมันจะดีมาก ๆ แต่ก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดหวังที่พิกซาร์ออกหนังมาเท่าไหร่ มันก็ออกมาเฉย ๆ ไปหมดแล้วทุกเรื่อง ถ้าใครจะชอบผมก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะหน้าหนังมันก็ขายได้อยู่แล้วเรื่องความงามของภาพ และเสียงพากย์ที่มีคุณภาพ แต่เมื่อเทียบกับต้นแบบแรงบันดาลใจที่เอามาปรับใช้มันดันทำหน้าที่ของมันได้ไม่สุด แถมบทสรุปก็จบลงแบบง่ายดาย ด้วยความยาวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง มันคงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับความผ่อนคลายในบรรยากาศหน้าร้อน
Comments
Post a Comment