รีวิวหนัง Thor: Love And Thunder ด้วยรักแด่เทพเจ้าสายฟ้าองค์ใหม่

Thor: Love and Thunder ธอร์: ด้วยรักและอัสนี สร้างจากตัวละคร ธอร์ ของ มาร์เวลคอมิกส์ ภาพยนตร์สร้างโดย มาร์เวลสตูดิโอส์ เป็นภาพยนตร์ภาคต่อโดยตรงของ ธอร์: ศึกอวสานเทพเจ้า (2017) และเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 29 ในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ใน อเวนเจอร์ส: เผด็จศึก กำกับโดย ไทกา ไวทีที ผู้กำกับในภาคที่แล้วที่พาธอร์ไปโลดแล่นอย่างฉูดฉาดอย่างมีสีสัน หลังจากสองภาคแรกไม่ค่อยประสบความสำเร็จในแง่ของการสร้างตัวละคร และเป็นครั้งแรกที่เขาได้สานต่อเรื่องราวของเทพเจ้าสายฟ้าองค์นี้ และสิ่งที่ยังค้างคาใจแฟน ๆ มาตลอด อย่างความสัมพันธ์กับ เจน ฟอสเตอร์ แฟนสาวที่เลิกกันแบบไม่สวยที่กลับมาในฐานะ เทพเจ้าสายฟ้าองค์ใหม่


เรื่องราวหลังจากเหตุการณ์มหาศึกธานอสที่คืนชีวิตให้โลกใน อเวนเจอร์ส เผด็จศึก ธอร์ โอดินสัน ได้ออกเดินทางปราบปรามวายร้ายไปทั่วจักรวาลเพื่อหวังจะลบล้างความเจ็บปวดจากความสูญเสียได้ แต่ทว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับเชื่อมโยงกันผ่าน ผู้ปราบเทพเจ้า กอร์ ที่ได้สังหารเทพเจ้าไปทั่วจักรวาล รวมไปถึงเพื่อนรักของเขา แต่เมื่อกลับมาตั้งต้นที่โลก เขากลับได้พบกับเจน ฟอสเตอร์ แฟนสาวที่เลิกรากันไปนาน ผู้ถือค้อนประจำตัวของเขา ธอร์จึงได้ออกสำรวจเหตุผลของความรักที่ทุกคนล้วนพร้อมจะทำเพื่อปกป้องและทำลาย แต่สุดปลายทางของเขานั้น ไม่ใช่การปกป้องจักรวาล แต่สำคัญกับการปกป้องคนที่เขารักตะหาก


ภาพรวมหนังมีสไตล์การเล่าที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์ ฉูดฉาด และรวดเร็วสไตล์ 80 ของผู้กำกับ แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของความเป็นหนังซูเปอร์มาร์เวลอยู่ดี ด้วยความที่หนังมีเวลาจำกัด เหตุการณ์ของเนื้อเรื่องจึงถูกบอกเล่าแบบรวบ ๆ ทั้งในส่วนของพล็อตหลักเน้น ๆ และมุกตลกที่ทำออกมาแบบติดตลก จนบางครั้งก็ยังเป็นส่วนที่เป็นทั้งข้อดีตรงที่มันขำจริง ๆ แต่นอกนั้นมันทำให้ภาพรวมกลายเป็นว่าเรื่องราวมันดูล่อง ๆ ลอย ๆ ไม่มีความจริงจังเท่าที่ควรแบบหนังมาร์เวลเรื่องอื่น ๆ จนเราอาจจะรู้สึกเพลิดเพลิน แต่ไม่ได้ทำให้เราเอาใจช่วยมากที่ควร 


บทหนังในเรื่องจะค่อนข้างเล่าเรื่องแบบง่าย เรียกได้ว่าสำเร็จรูปเลย ซึ่งนี่แหละที่เป็นส่วนที่แฟนมาร์เวลเริ่มจะจับต้องและเบื่อกับมันแล้ว หนังที่รู้ว่าในเฟส 4 จะมามัวสร้างจักรวาลอย่างเดียวไม่ได้ จึงเน้นสร้างเนื้อเรื่องเอกเทศของมันเอง แต่ก็ยังไม่ทอดทิ้งสิ่งที่หนังภาคก่อนทั้งสามภาคเล่าไว้กับแฟน ๆ และบางส่วนที่ไม่ได้ถูกบอกเล่าในหนัง ก็ถูกเล่าให้เต็มเปี่ยมในภาคนี้ ซึ่งทำให้ภาพรวมของหนังมีความแข็งแกร่งที่สุดในหมู่หนังทุกภาคของธอร์ สรุปภาพยนตร์มาร์เวลกลิ่นอายหนังตลกผสมดราม่าที่มันทั้งตลก ดราม่า และตื่นเต้น แต่เพราะหนังมันสั้นเกิน หนังเลยไม่ได้ให้พื้นที่กับการแสดงและตัวละครมากนัก


👉👉 ติดตามสนับสนุนได้ที่นี่ ข่าววงการบันเทิง แวดวงคนดัง


Comments

Popular posts from this blog

รีวิว Invincible SS1 (Amazon Prime) ยอดมนุษย์คงกระพัน ซูเปอร์ฮีโร่หนุ่มวัยรุ่น ‘มาร์ค เกรย์สัน’

รีวิว Logan (โลแกน เดอะ วูล์ฟเวอรีน) ดราม่าของซูเปอร์ฮีโร่ชัดๆ

รีวิว The Worst Witch (โอมเพี้ยง! แม่มดน้อยสู้ตาย) น่ารักใส ๆ เบาสมอง